วันเสาร์, กรกฎาคม 02, 2554

ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร

อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำหรือไม่ และเราควรจะทำอย่างไรดี

บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป

ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน

ขอขอบคุณเจ้าของบทความจาก

www.rimnam.com

วันอาทิตย์, มิถุนายน 12, 2554

ประวัติบ้านน้ำครกใหม่ (ฉบับสมบูรณ์)

ประวัติบ้านน้้าครกใหม่ ผู้สืบค้นและบันทึกโดย ผอ.ดุสิต ยาใจ
ชาวบ้านน้้าครกใหม่ได้สืบเชื้อสายมาจากชาวเชียงแสน จังหวัดเชียงรายปัจจุบัน ในสมัยนั้นได้ถูกไทยใหญ่-ชาวพม่ารุกราน จึงอพยพหนี โดยกัน 2 ทาง ทางที่ 1 พากันลงเรือลงแพล่องมาตามล้าแม่น้้าโขง ทางที่ 2 บางกลุ่มใช้ช้าง ใช้ม้า ใช้วัว ใช้ควาย เป็นพาหนะ เดินทางมาทางบก พวกที่ล่องเรือ ล่องแพมา ...ก็ได้พากันขึ้นทางบกที่เมืองบ่อแตน
เมืองเก่นท้าว แขวงลานช้างของประเทศลาว และได้ตั้งถิ่นอยู่ที่นั้น
*บางกลุ่มได้อพยพล่องใต้ไปอยู่ท
ี่อ้า เภอลับแล อ้าเภอตรอนบ้านน้้าอ่าง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่อ้าเภอลี้จังหวัดล้าพูน อ้าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี (หลักฐานที่พบจากพระพุทธรูปในพระวิหารอยู่หน้าพระประธาน สร้างด้วยไม้อักขระเป็นภาษาขอม ผู้สร้างคือ แสนมโนนัย แสนเป็นยศต้าแหน่งในสมัยนั้นสร้างมาประมาณ 300 - 500 ปี)
ผู้น้ากลุ่มขณะนั้นเห็นว่าที่ท้
ามาหากินตรงนั้นไม่เพียงพอ จึงแยกจากกลุ่มใหญ่ ได้
ชักชวนกันอพยพพากันเดินทางมาถึง
เมืองเลย (จังหวัดเลยปัจจุบัน) ก็ได้ตั้งรกรากกันอยู่แห่งนั้นชั่ว คราว แต่ก็จ้าเป็นต้องอพยพต่อไป เพราะเหตุว่าถูกพวกขอมมารุกราน จึงพากันอพยพเดินทางมาเรื่อยๆ เพื่อมาตั้งหลักใหม่ มาจนถึงบ้านศรีสะเกษ อ้าเภอนาน้อย จังหวัดน่าน
ในขณะนั้นภายในกลุ่มที่อพยพมาด้
วยกันได้มีการแยกกลุ่ม เพื่อหาที่ใหม่ แหล่งที่
อุดม สมบูรณ์ จนมาถึงบ้านดอนไชยใต้ อ้าเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เห็นว่าแห่งนี้มีแหล่งน้้า หนองน้้า ที่ท้ามาหากินอุดมสมบูรณ์ แต่ก็อยู่มาระยะหนึ่งก็ถูกขับไล
่จากคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว
ขณะนั้นที่อยู่อาศัยก็ขาดแคลนน้
้า จึงพากันเดินทางขึ้นมาทางเหนือเพื่อหาที่อยู่ใหม่ อีก จนมาถึงบ้านน้้าปั้ว อ้าเภอเวียงสา มีพวกชาวลาวที่มาอาศัยอยู่ก่อนแล้วจึงมีเรื่องทะเลาะข้อพิพาทกันบ่อยครั้ง อยู่ไม่ได้จึงพากันอพยพย้ายถิ่นฐานขึ้นมาทางเหนืออีก จึงได้พากันมาพักชั่วคราวที่หมู่บ้านวังม่วง อ้าเภอเวียงสาปัจจุบัน
ขณะนั้นมีผู้น้ากลุ่มที่เก่งกล้
ามาก ผู้หนึ่งชื่อว่า หลวงหาญ (เจ้าหลวงข้อมือเหล็ก) มีอยู่วันหนึ่งมีพ่อเฒ่าอิน แม่เฒ่าสา ได้ออกหาของป่า หาของกิน ก็มาพบแหล่งน้้าที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง เห็นหนองน้้าแห่งนี้กว้างใหญ่ มีกุ้ง หอย ปู ปลา ชุกชุมมาก จึงพากันมาบอก
หลวงหาญ หรือเจ้าหลวงข้อมือเหล็ก กับพวกที่อพยพมาด้วยกัน ว่าพบแหล่งน้้าใหญ่ ให้พากันอพยพมาอยู่ใกล้หนองน้้า
ใหญ่แห่งนี้ หลวงหาญ พร้อมกับผู้อพยพได้พากันอพยพมา
จึงตั้งชื่อหนองน้้าแห่งนี้ว่า “หนองแซ็ง” ซึ่งมีมีสัตว์น้้ามากมาย ผู้ที่ได้อพยพมาต่างก็ท้ามาหากิ
น ได้บุกเบิกป่าละเมาะ ท้าไร่ ท้านา ท้าสวน ท้ามาหากินด้ารงชีพอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
ในสมัยผู้ครองนครน่านได้ย้ายแคว
้นมาจากเมืองปัว มาตั้งฐานเมืองใหญ่อยู่ที่พระธาตุภูเพียง แช่แห้ง ชาวเชียงแสนบางกลุ่มมาสวามิภักดิ์ต่อผู้ครองนครน่านได้พาพวกตั้งถิ่นฐาน-ที่บ้าน พญาวัด บ้าน
สวนตาลตอนล่าง บางกลุ่มขึ้นไปอยู่เหนือจังหวัด
น่านมีบ้านผาขวาง บ้านดอนแก้ว อ้าเภอท่าวังผา บ้านดอนแท่น อ้าเภอเชียงกลาง กลุ่มที่อยู่ใกล้หนองแซงมาบุกเบิกป่าละเมาะ ท้าไร่นา สวน ด้ารงชีพ ให้มั่นคงและเปลี่ยนชื่อว่า บ้านน้้าครกหนองแซ่ง
ต่อมาบ้านเมืองมีการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลง เจริญก้าวหน้า จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า
“บ้านน้้าครกใหม่” มาจนถึงปัจจุบัน
ประวัติ บ้านดอนเจริญ หมู่ที่ 6
บ้านดอนเจริญได้จัดตั้งเป็นหมู่
บ้านโดยแยกจากบ้านน้้าครกใหม่เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2519 ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ นายถวิล แสงหล้า เนื้อที่ของหมู่บ้านประมาณ 54 ไร่ พื้นที่ท้าการเกษตร
ประวัติบ้านน้้าครกใหม่พัฒนาหมู
่ที่ 9
เดิมเป็นบ้านน้้าครกใหม่หมู่ที่
4 แยกเมือง 24 พฤษภาคม 2543 และก็ได้ตั้งชื่อ เป็นบ้านน้้าครกใหม่พัฒนา หมู่ที่ 9 ผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อนาย เนื้อที่ของหมู่บ้านประมาณ ไร่ พื้นที่ท้าการเกษตร
ประวัติแม่น้้าครก
ตามชื่อน้้าที่ล้อมรอบหัวท้ายหม
ู่บ้าน กาลเวลาผ่านไปน้้าเริ่มหักเหเปลี่ยนทางสายน้้าเก่าจึงเกิดขังเป็นหนองบึง เมื่อน้้าไม่ไหลออกกลายเป็นคลองน้้าโค้งเป็นรูปครกต้าพริกมีน้้าขังอยู่ จึงได้ชื่อว่าน้้าครก ต่อมาจึงได้มาท้าการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านน้้าครกใหม
บางกลุ่มได้อพยพล่องใต้ไปอยู่ที
่อ้าเภอ ลับแล อ้าเภอตรอน บ้านน้้าอ่าง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่อ้าเภอลี้จังหวัดล้าพูน อ้าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี หลักฐานที่พบจากพระพุทธรูปในพระวิหารอยู่หน้าพระประธาน สร้างด้วยไม้อักขระเป็นภาษาขอม ผู้สร้างคือ แสนมโนนัย แสนเป็นยศต้าแหน่งในสมัยนั้นสร้างมาประมาณ 300 - 500 ปี
ภาพวาดฝาผนังวัดน้้าครกใหม่ เป็นภาพพุทธประวัติของพระพุทธเจ
้า และภาพวาดประวัติของหมู่บ้านน้้าครกใหม่ ชาวเชียงแสน โดยจินตนาการจากท่านพระครูอาธร นันทวัฒน์ เจ้าอาวาสน์วัดน้้าครกใหม่ จากการได้รับค้าบอกเล่าสืบต่อกันมา เมื่อพ.ศ. 2539 และเป็นผู้ริเริ่มการก่อสร้างพระอุโบสถแห่งนี้
แหล่งที่มาข้อมูล : บันทึกโดยพ่อแสน ปันสุยะและผู้เฒ่าผู้แก่บ้านน้้
าครกใหม่ที่ร่วมกันบันทึกไว้
ค้นพบในหีบเหล็กของคุณแม่ต่อมแก
้ว ปันวงค์(เสียชีวิต)เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ลูกหลานแม่ต่อมแก้ว ได้มอบ
ให้พ่ออาจารย์วิเชียร ยาใจ เก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานของหมู่
บ้านตลอดไป
ประวัติชุมชน (หมู่ที่ 4) บ้านน้้าครกใหม่
บ้านน้้าครกใหม่มีต้านานเล่าขาน
กันมาหลายชั่วอายุคน ได้สืบเชื้อสาย มาจากชาวเชียงแสนจังหวัดเชียงรายปัจจุบัน ได้ถูกไทยใหญ่พม่ารุกรานจึงอพยพหนีลงเรือ - แพล่องมาตามล้าน้้าโขง บางกลุ่ม ใช้ช้าง - ม้า วัว ควาย เดินทางเป็นพาหนะทางบกที่เมืองบ่อแตน เมืองแก่นท้าวแขวงลานช้างของประเทศลาวได้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น
ผู้น้ากลุ่มเห็นว่ามีการท้ามาหา
กินไม่เพียงพอ จึงต้องแยกจากกลุ่มใหญ่อพยพเดินทางถึงเมืองเลยได้พักอยู่ชั่วคราวจ้าเป็นอพยพต่อไป เพราะเหตุที่ถูกพวกขอมขับไล่รุกราน การเดินทางย้อนตั้งหลักใหม่ มาจนถึงบ้านศรีสะเกษ อ. นาน้อย จ. น่าน
ขณะนั้นภายในกลุ่มมีการแยกตัวหา
ที่อยู่ที่อุดมสมบูรณ์ จนมาถึงบ้านดอนชัยใต้ อ.เวียงสา อยู่ระยะหนึ่งก็โดนขับไล่
ขณะนั้นที่อาศัยก็ขาดแคลนน้้า จึงพากันเดินทางหาที่อยู่ใหม่จน
มาถึงบ้านน้้าปัว อ. เวียงสาสา มี พวกชาวลาวมาอาศัยอยู่ก่อน มีเรื่องข้อพิพาทกันหลายครั้งทั้งกลุ่มย้ายกันขึ้นมาทางเหนือได้พักชั่วคราวที่หมู่บ้านวังม่วง .เวียงสา
ขณะนั้นผู้น้ากลุ่มขณะนั้นมีชื่
อว่า หลวงหาญ (เจ้าหลวงข้อมือเหล็ก) วันหนึ่งมีพ่อเฒ่าอิน - แม่เฒ่าสาได้ออกละเมาะมีกุ้ง หอย ปู ปลา แม่น้้ากว้างใหญ่ มีปลาชุมจึงกลับมาบอกหลวงหาญและพวกพากันอพยพมาอยู่ใกล้หนองน้้าใหญ่และให้ชื่อว่าหนองแซง สืบกันมาทุกวันนี้
ในแคว้นผู้ครองนครน่านได้มาจากเ
มืองปัว มาตั้งฐานเมืองใหญ่อยู่ที่พระธาตุภูเพียง แช่แห้ง ชาวเชียงแสนบางกลุ่มมาสวามิภักดิ์ต่อผู้ครองนครน่านได้พาพวกตั้งถิ่นฐาน-ที่บ้าน พญาวัด บ้านสวนตาลตอนล่าง บางกลุ่มขึ้นไปอยู่เหนือจังหวัดน่านมีบ้านผาขวาง บ้านดอนแก้ว อ้าเภอท่าวังผา บ้านดอนแท่น อ้าเภอเชียงกลาง กลุ่มที่อยู่ใกล้หนองแซงมาบุกเบิกป่าละเมาะ ท้าไร่นา สวน ด้ารงชีพ ให้มั่นคงและเปลี่ยนชื่อว่า บ้านน้้าครกหนองแซ่ง
ประวัติแม่น้้าครก
ตามชื่อน้้าที่ล้อมรอบหัวท้ายหม
ู่บ้าน กาลเวลาผ่านไปน้้าเริ่มหักเหเปลี่ยนทางสายน้้าเก่าจึงเกิดขังเป็นหนองบึง เมื่อน้้าไม่ไหลออกกลายเป็นคลองน้้าโค้งเป็นรูปครกต้าพริกมีน้้าขังอยู่ จึงได้ชื่อว่าน้้าครก ต่อมาจึงได้มาท้าการเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านน้้าครกใหม
บางกลุ่มได้อพยพล่องใต้ไปอยู่ที
่อ้าเภอ ลับแล อ้าเภอตรอน บ้านน้้าอ่าง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่อ้าเภอลี้จังหวัดล้าพูน อ้าเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี หลักฐานที่พบจากพระพุทธรูปในพระวิหารอยู่หน้าพระประธาน สร้างด้วยไม้อักขระเป็นภาษาขอม ผู้สร้างคือ แสนมโนนัย แสนเป็นยศต้าแหน่งในสมัยนั้นสร้างมาประมาณ 300 - 500 ปี
ภาพวาด (วัด) จากการจิตนาการนึกตรึกตรองได้รั
บค้าบอกเล่าจากท่านพระครูองศ์ปัจจุบันและเป็นผู้ริเริ่มการก่อสร้างพระอุโบสถนี้(พระครูอาทร นันทวัฒน์) วาดเมื่อ พ.ศ. 2539

วันศุกร์, มิถุนายน 10, 2554

ประวัติเรือหงษ์ทอง

เรือหงษ์ทอง

ดั้งเดิมเป็นไม้ตะเคียนทองซึ่งอยู่ห่าห้วยดู่ หรือดอยดู่ บ้านเสลียม ต. อ่ายนาไลย อ.เวียงสาจ.น่าน ได้เริ่มขุดรากตัดโคนต้นในวันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน 2522 และได้ทำการเลื่อยทำแปรรูปไม้หนา 40 นิ้ว กว้าง 50 นิ้ว แล้วได้พร้อมใจกันด้วยแรงของชาวบ้านน้ำครกใหม่ จำนวน 300 กว่าคน ได้ชักลากออกจากต้อมาไว้ข้างถนนเป็นระยะทาง 1,500 เมตร ได้ใช้รถบรรทุกออกจากป่ามาสู่บ้านน้ำครกใหม่ ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2523 ได้ไปนำช่างมาจากจังหวัดนครสวรรค์ชื่อว่าช่างเสริม เชตุวัน มาทำการขุดเรือในวันที่ 19 กันยายน 2523 เสร็จในวันที่ 20 ตุลาคม 2523 แล้วได้นำเรือหงษ์ทอง ลงสู่หนองน้ำครกในวันที่ 22 ตุลาคม 2523 ตรงกับวันอังคาร เวลา 9.00 น. และนำเรือหงษ์ทองลงสู่แม่น้ำน่าน ในวันที่ 24 ตุลาคม 2523

ได้ไปร่วมการแข่งขันเรือประเพณีออกพรรษาของอำเภอเวียงสา ได้รับรางวัลชนะเลิศได้รับถ้วยเกียรติยศของ คุณคำรณ ณ ลำพูน ซึ่งเป็นส.ส. ของจังหวัดน่าน สมัยนั้น   ต่อมาในวันที่ 1 - 2 กันยายน 2544 หลังการแข่งขันนัดเปิดสนามในจังหวัดน่าน ได้ทำการดัดแปลงกันยาหัวเรือใหม่ทำให้เชิดขึ้นสวยงามกว่าเดิมและได้ปรับปรุงรูปลักษณ์ดูสวยงามยิ่งขึ้นในปี2553 ซึ่งก็ได้รางวัลชนะเลิศครองถ้วยพระราชทานในงานแข่งเรือยาวปิดสนาม จนถึงขณะนี้เรือหงษ์ทองอายุได้ 32 ปีแล้ว.

ประวัติเรือเทพศิริพร1

เรือเทพศิริพร1

เรือลำนี้ขุดมาจากไม้ตะเคียนทอง ขนาดยาว 12 วา 3 ศอก โดยช่างสงวน   ศูนย์นพพา  เดิมเป็นเรือแข่งของคุณสำรวย   เล็กเปีย  เป็นเรือดังลำหนึ่งของชาวอำเภอโพธาราม  จังหวัดราชบุรี  ขณะเดียวกันนี้บ้านน้ำครกใหม่เกาะสวรรค์ได้แยกหมู่บ้านออกมาจากบ้านน้ำครกใหม่ ม. 4  มาตั้งเป็นหมู่ที่ 10 ต้องการเรือแข่งเป็นของตนเองจึงได้ไปซื้อมา                กำนันวิจิตร    ชุ่มเย็น  ร่วมกับพี่น้องชาวบ้านน้ำครกใหม่เกาะสวรรค์ ได้ไปซื้อเรือดังลำนี้ ในราคา 170,000 บาท เมื่อปี  2547 ลงแข่งไม่ประสบผลสำเร็จ จึงได้เอาเรือเทพศิริพร 1 เป็นทั้งเรือซ้อมและเรือแข่งในเวลาเดียวกัน  ทำให้เรือเสียหายมาก
                ต่อมาปี 2548 บ้านน้ำครกใหม่เกาะสวรรค์  จึงได้หาซื้อเรือมาซ้อม ลำที่ 2 เดิมซื่อเรือ  เทพสองทุ่ง  เป็นของบ้านหนองทุ่ง ตำบลจาระแม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี  ขุดจากไม้ตะเคียนทั้งต้น  ขนาดยาว 14 วา 2 สอก  ในราคา 60,000 บาท จึงได้ตั้งชื่อใหม่ว่า เทพศิริพร 2 นำมาเป็น เรือสำหรับซ้อมเรื่อยมา

รางวัลเกียรติยศ

  • ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศประเภทเรือกลาง งานประเพณีนัดปิดสนาม อ.เวียงสา ปี 2548 - 2549
  • ได้รับรางวัลพระราชทานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ และเหรียญทอง งานประเพณีแข่งเรือนัดปิดสนาม จังหวัดน่าน ปี 2548,2549,2550 ( 3 ปีซ้อน ) ครองถ้วยพระราชทานเป็นกรรมสิทธิ์ของหมู่บ้านน้ำครกใหม่เกาะสวรรค์ หมู่ 10 โดยนายชาติ   ยาใจ เป็นประธานเรือแข่ง ปี 2551
  • พี่น้องชาวบ้านก้ได้เก็บรักษาเรือเทพศิริพร 1 ไว้ไม่ให้ลงแข่งในสนามใดเลยจนปัจจุบันนี้

วันพุธ, มิถุนายน 08, 2554

"Boat racing in Nan"

"Boat racing in Nan"
by Krisda Dhiradityakul

This weekend will be a feast for boat racing enthusiasts when the largest dragon boat racing event of the year will be staged on the Nan River in Nan, a sleepy little town with a population of only 70,000 people. For the rest of the year, nothing wildly exciting happens here. There is not much activity at night as Nan is something of a rarity in Thailand in that it doesn't provide illegal nocturnal 'entertainment' that places such as Pattaya do. However, what Nan has to offer is a peaceful atmosphere for its visitors.
I was recently sitting by the side of the river, enjoying the gentle breeze which wafts across the water by the riverside restaurant, and enjoying some of the local cuisine with my friends. Suddenly the silence was shattered by the rhythmic chanting of male voices. Then a long boat with sixty oarsmen suddenly materialized right in front of us. It was a narrow wooden craft, thirty metres long, and painted red and gold in the traditional local style. On its bow, a carved image of the Naga towered above the water line to chase away bad spirits, while inviting only the good ones to participate. Its crew, dressed in blue and red velvet shirts paddled furiously against the current to the frantic beating of a drum by the captain, who was sitting on the stern.
The Boat Racing Festival of Nan province is held annually right after the end of the rainy season around early November. According to old stories, boat racing combined religious rituals and entertainment. Back in the old days people utilized the river as their main source of transportation for the offering of robes to the monks after the rainy season. This ceremony is known as Tarn Guay Salark (ตานก๋วยสลาก). Traveling by boat was a relaxing way of getting to the temples and allowed people to socialize and enjoy the trip. As we all know, a sense of competition for fun and friendship has been programmed into our blood. Women also took this opportunity to arrange meetings with male friends. Usually women were restricted to work in their houses and had little or no opportunity for any sort of social life. Boat racing provided a once a year opportunity to let their hair down before returning to the drudgery of home life. So boat racing was a social function, as well as a sporting event.
No one knows exactly when boat racing actually began. According to archaeological artifacts discovered in Ban Tha Lor, Muang District, Nan Province. , the wooden boats called "Sua Thao Tha Lor," are believed to date back to the early Rattanakosin Period. The design hasn't changed over the years. Hundreds of spectators witness the festival each year and it has become one of the most amazing festivals in Thailand. If you are looking for an exciting water sport, the boat racing festival in Nan is not to be missed.
However, the winds of change are blowing down the river. While the festival draws lots of tourists and money into Nan every year, this doesn't mean that the economy of Nan is getting any better and local people are reaping the harvest. In reality, the local people are losing out. Most of the shops and booths set up for the festival are not run by locals. Only one large beverage company from Bangkok has been allowed to monopolize these outlets. In addition, the company was allowed to display its advertisements all over town. Under the sponsor's contract, the company was allowed to put huge advertising signs all over the city, and place its outlets in several key locations in the festival area. To make matters worse, small vendors were forbidden to sell their products in the same place. The large amount of money put in to sponsor the festival is enough to halt all activities if the company suddenly withdraws its support. According to organizers, they tried to reject the support of the large monopoly, but couldn't find any other people to help them. According to the staff of the Public Health Center, they can only try to convince people not to indulge in drinking alcohol to excess, and instruct vendors to obey the law in that they must not sell alcoholic drinks to underage people, and only sell drinks at a certain time. There seems to be nothing else the Public Health Center can do.
This tug of war between the government and the profit driven private company is a farce. In typical Thai fashion the government is simply failing to enforce existing laws, in much the same way that it shirks its many other responsibilities. In the eyes of some, the festival is becoming more tourist orientated, while the significance of its cultural heritage is being reduced. People just come to Nan to drink while watching the boat racing and the major drink companies will reap the benefits.
Politicians have also been accused of typical abuse of power. For example, it's been suggested that local politicians will seize this opportunity to advertise their names on the side of the boats and elsewhere as the hosts and supporters of the festival. The public could get the impression that the festival is being promoted or supported by one particular politician instead of the entire population of the province.
Over the next few days leading up to the event, the opposing forces will be pedaling their messages. The alcohol lobby is going all out to make sure they sell as many drinks they can entice people to buy. Not far from away, signs campaigning against drinking have also been erected. It is such an oxymoron that the signs extolling such totally opposing messages are being displayed at the same time in the same area. There is a faint possibility that it is a genuine combination of cultural preservation and tourism promotion. However many are worried that tourism seems to be taking priority, while the cultural significance of the event is being pushed into the background.



ประวัติบ้านน้ำครกใหม่

ชาวบ้านน้้าครกใหม่ได้สืบเชื้อสายมาจากชาวเชียงแสน จังหวัดเชียงรายปัจจุบัน ในสมัยนั้นได้ ถูกไทยใหญ่-ชาวพม่ารุกราน จึงอพยพหนีโดยกัน 2 ทาง ทางที่ 1 พากันลงเรือ ลงแพล่องมาตามล้าแม่น้้าโขง ทางที่ 2 บางกลุ่มใช้ช้าง ใช้ม้า ใช้วัว ใช้ควาย เป็นพาหนะ เดินทางมา ทางบก พวกที่ล่องเรือ ล่องแพมา ก็ได้พากันขึ้นทางบกที่เมืองบ่อแตน เมืองเก่นท้าว แขวงลานช้างของประเทศลาว และได้ตั้งถิ่นอยู่ที่นั้น *บางกลุ่มได้อพยพล่องใต้ไปอยู่ที่อ้าเภอลับแล อ้าเภอตรอนบ้านน้้าอ่าง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ อ้าเภอลี้จังหวัดล้าพูน อ้าเภอเสาไห้จังหวัดสระบุรี(หลักฐานที่พบจากพระพุทธรูปในพระวิหารอยู่หน้า พระประธาน สร้างด้วยไม้อักขระเป็นภาษาขอม ผู้สร้างคือ แสนมโนนัย แสนเป็นยศต้าแหน่งในสมัยนั้น สร้างมาประมาณ 300 - 500 ปี) ผู้นำกลุ่มขณะนั้นเห็นว่าที่ท้ามาหากินตรงนั้นไม่เพียงพอ จึงแยกจากกลุ่มใหญ่ ได้ ชักชวนกันอพยพพากันเดินทางมาถึงเมืองเลย (จังหวัดเลยปัจจุบัน) ก็ได้ตั้งรกรากกันอยู่แห่งนั้นชั่วคราว แต่ก็จ้าเป็นต้องอพยพต่อไป เพราะเหตุว่าถูกพวกขอมมารุกราน จึงพากันอพยพเดินทางมาเรื่อยๆ เพื่อ มาตั้งหลักใหม่ มาจนถึงบ้านศรีสะเกษ อ้าเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ในขณะนั้นภายในกลุ่มที่อพยพมาด้วยกันได้มีการแยกกลุ่ม เพื่อหาที่ใหม่ แหล่งที่ อุดมสมบูรณ์ จนมาถึงบ้านดอนไชยใต้ อ้าเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เห็นว่าแห่งนี้มีแหล่งน้้า หนองน้้า ที่ ท้ามาหากินอุดมสมบูรณ์ แต่ก็อยู่มาระยะหนึ่งก็ถูกขับไล่จากคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ขณะนั้นที่อยู่อาศัยก็ขาดแคลนน้้า จึงพากันเดินทางขึ้นมาทางเหนือเพื่อหาที่อยู่ใหม่ อีก จน มาถึงบ้านน้้าปั้ว อ้าเภอเวียงสา มีพวกชาวลาวที่มาอาศัยอยู่ก่อนแล้วจึงมีเรื่องทะเลาะข้อพิพาทกัน บ่อยครั้ง อยู่ไม่ได้จึงพากันอพยพย้ายถิ่นฐานขึ้นมาทางเหนืออีก จึงได้พากันมาพักชั่วคราวที่หมู่บ้านวัง ม่วง อ้าเภอเวียงสาปัจจุบัน ขณะนั้นมีผู้น้ากลุ่มที่เก่งกล้ามากผู้หนึ่งชื่อว่า หลวงหาญ (เจ้าหลวงข้อมือเหล็ก) มีอยู่วันหนึ่งมีพ่อ เฒ่าอิน แม่เฒ่าสา ได้ออกหาของป่า หาของกิน ก็มาพบแหล่งน้้าที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง เห็นหนองน้้า แห่งนี้กว้างใหญ่ มีกุ้ง หอย ปู ปลา ชุกชุมมาก จึงพากันมาบอก หลวงหาญ หรือเจ้าหลวงข้อมือเหล็ก กับพวกที่อพยพมาด้วยกัน ว่าพบแหล่งน้้าใหญ่ ให้พากันอพยพมา อยู่ใกล้หนองน้้าใหญ่แห่งนี้ หลวงหาญ พร้อมกับผู้อพยพได้พากันอพยพมา จึงตั้งชื่อหนองน้้าแห่งนี้ว่า “หนองแซ็ง” ซึ่งมีมีสัตว์น้้ามากมาย ผู้ที่ได้อพยพมาต่างก็ท้ามาหากิน ได้ บุกเบิกป่าละเมาะ ท้าไร่ ท้านา ท้าสวน ท้ามาหากินด้ารงชีพอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ในสมัยผู้ครองนครน่านได้ย้ายแคว้นมาจากเมืองปัว มาตั้งฐานเมืองใหญ่อยู่ที่พระธาตุภูเพียง แช่ แห้ง ชาวเชียงแสนบางกลุ่มมาสวามิภักดิ์ต่อผู้ครองนครน่านได้พาพวกตั้งถิ่นฐาน-ที่บ้าน พญาวัด บ้านสวนตาลตอนล่าง บางกลุ่มขึ้นไปอยู่เหนือจังหวัดน่านมีบ้านผาขวาง บ้านดอนแก้ว อ้าเภอท่าวังผา บ้าน ดอนแท่น อ้าเภอเชียงกลาง กลุ่มที่อยู่ใกล้หนองแซงมาบุกเบิกป่าละเมาะ ท้าไร่นา สวน ด้ารงชีพ ให้ มั่นคงและเปลี่ยนชื่อว่า บ้านน้้าครกหนองแซ่ง ต่อมาบ้านเมืองมีการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลง เจริญก้าวหน้า จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “บ้านน้้าครกใหม่” มาจนถึงปัจจุบัน